Friday, 27 July 2012

คาถาสำเร็จของ Samsung


         วันก่อนมีข่าวยอดขายสมาร์ทโฟนของ "ซัมซุง" แซง "ไอโฟน" ของ "แอปเปิล" แล้ว
ในอดีตเมื่อ 30 ปีก่อนทุกคนยังจำภาพ "ซัมซุง" 
ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ซัมซุง คือ สินค้าราคาถูก
เกรดต่ำกว่าสินค้าจากญี่ปุ่น
แต่ปัจจุบัน "ซัมซุง" กลับกลายเป็นสินค้าเกรดA
เริ่มต้นจาก เมื่อ 10 ปีก่อน โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกของ "ซัมซุง" โชว์นวัตกรรม "จอสี" และเสียงโทร.เข้าที่ไพเราะกว่าเสียงโมโนโทน
เหนือกว่า "โนเกีย" ซึ่งเป็นเจ้าตลาดในยุคนั้น
แม้ผู้บริหาร "เอไอเอส" ในยุคนั้น เขายังบอกเลยว่า "ซัมซุง" กล้าหาญมากที่ตั้งราคาสูงกว่ามือถือทั่วไป
ทั้งที่ใช้แบรนด์ "ซัมซุง"
จนในที่สุด "ซัมซุง" รุ่นนั้นก็ประสบความสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา "ซัมซุง" ก็ไม่ใช่ "ซัมซุง" ที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป
เขาเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ไม่ผลิตสินค้าเกรดต่ำ ราคาถูก
ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ
สินค้า "ซัมซุง" กลายเป็นสินค้าคุณภาพ ที่โชว์เหนือเรื่องนวัตกรรมใหม่

       ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดจาก "ลี กอน ฮี" ที่รับสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อ "ลี เบียง ชอล"
แต่กลับพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
เป็นคาถา "ซัมซุง
ที่ "พ่อ" มอบให้กับ "ลูก"
วันที่ "ลี เบียง ชอล" ประกาศว่าผู้สืบทอดกิจการ "ซัมซุง" คือ "ลี กอน ฮี" บุตรชายคนที่ 3
เขาเรียกลูกชายมาที่ห้องทำงาน แล้วหยิบพู่กันจุ่มหมึกเขียนข้อความสั้นๆ
"จงรับฟัง"
คาถาข้อแรกของการเป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กรใหญ่ที่ "พ่อ" มอบให้กับ "ลูก"
"ลี เบียง ชอล" รู้ซึ้งถึงสัจธรรมของ "อำนาจ" ว่ายิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งรับฟังน้อยลง
และเมื่อ "พูด" มากกว่า "ฟัง"
"ความรู้ใหม่" ก็ไม่เกิด
"ลาร์ลี่ คิง" นักพูดชื่อดัง เคยบอกว่า "เราไม่เคยฉลาดขึ้นจากการพูด"
มีแต่การฟังเท่านั้นที่จะได้ "ความรู้" จากผู้อื่น
เขาจึงเตือน "ลี กอน ฮี" ตั้งแต่เริ่มต้นการเรียนรู้งานในตำแหน่ง "ประธาน"
ในวันที่ "ลี กวน ฮี" มีอำนาจเต็มใน "ซัมซุง" เขาจึงเป็นคนที่ได้รับคำชมอย่างมากว่าเป็น "ผู้ฟัง" ที่ดี
ทั้งที่ "ลี กวน ฮี" เป็นคนพูดเก่ง เขาสามารถบรรยายติดต่อกัน 3-4 ชั่วโมงได้อย่างสบาย
แต่ "จุดเด่น" ของเขากลับอยู่ที่การรับฟัง
ฟังเพื่อนนักธุรกิจ ฟังนักวิชาการ ฟังผู้บริหาร ฟังพนักงาน ฯลฯ
จากนั้นจึงเริ่มตั้งคำถาม
"ทำไม-ทำไม-ทำไม ฯลฯ"
ว่ากันทุกปัญหา "ลี กวน ฮี" จะตั้งคำถามว่า "ทำไม" อย่างน้อย 6 คำถาม
คาถาเรื่อง "จงรับฟัง" นั้น ผมจำได้ว่า "กานต์ ตระกูลฮุน" กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ "เอสซีจี" หรือ "ปูนซิเมนต์ไทย" เคยบอกว่าตอนที่จะเปลี่ยนองค์กร "เอสซีจี" สู่นวัตกรรม
เขาต้องเข้าอบรมหลักสูตรหนึ่ง
ชื่อว่า "การฟัง"
สอนให้รู้จักอดทนรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง
เพราะถ้าไม่มีท่าทีรับฟังก็จะไม่มีลูกน้องคนใดกล้าเสนอความเห็นที่นอกกรอบ
และองค์กรนั้นก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
คาถาบทที่สองที่ "ลี เบียง ชอล" มอบให้กับลูกชายผู้สืบทอดกิจการ ก็คือ "ไก่ไม้"
"ไก่ไม้" คือ ไม้ที่แกะสลักเป็นตัวไก่
ในห้องนอนของเขาจะมี "ไก่ไม้" แขวนอยู่
"ไก่ไม้" นั้นมาจากนิทานเรื่องหนึ่งในหนังสือคำสอนของ "จวงจื่อ" ปราชญ์คนหนึ่งของจีน
คนเลี้ยงไก่ชนชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อ "จี้ เซิง จื่อ" เป็นคนเลี้ยงไก่ชนให้กับ "โจว ซวน อ๋อง"
วันหนึ่ง "โจว ซวน อ๋อง" นำไก่ชนตัวหนึ่งมาให้เลี้ยง
ผ่านไป 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ก็ถามเขาว่า "ไก่ชนใช้ได้หรือยัง"
"ยังไม่ได้ เพราะมันยังเดินกร่างอยู่ ทะนงตน ท้าทายไปทั่ว" จี้ เซิง จื่อ ตอบ
ผ่านไปอีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ก็ถามด้วยคำถามเดิม
"ไก่ชนใช้ได้แล้วหรือยัง"
คำตอบของ "จี้ เซิง จื่อ" เหมือนเดิม คือ "ยัง"
แต่เหตุผลเปลี่ยนไป
"ยังไม่ได้ ตอนนี้ไม่ท้าทายไก่ตัวอื่นแล้ว แต่มักจะโดดตีถ้าไก่ตัวอื่นเข้าใกล้"
อีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ถามอีก "ไก่ชนใช้ได้หรือยัง"
"ยังไม่ได้ ตอนนี้ไม่โดดตีแล้ว และลดความทระนงตนลงแต่สายตายังดุร้าย เหมือนพร้อมจะตีกับไก่ตัวอื่น"
อีก 10 วัน "โจว ซวน อ๋อง" ถามด้วยคำถามเดิม
ครั้งนี้คำตอบมีพัฒนาการ
"จี เซิง จื่อ" ตอบว่าพอใช้ได้แล้ว เพราะเมื่อไก่ตัวอื่นขัน ก็ไม่แสดงอาการตอบ เป็นราวกับ "ไก่ไม้"
"เห็นไก่ตัวอื่นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไก่ตัวอื่นเห็นก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เดินหนีไปหมด"
ครับ "ไก่ชน" ที่ดีนั้นไม่ใช่ "ไก่" ที่ตีเก่ง ฮึกเหิมห้าวหาญท้าทีท้าต่อยไปทั่ว
แต่ "ไก่ชน" ที่ดีต้อง "นิ่ง" เป็น
สงบสยบเคลื่อนไหว
รู้จักเก็บความรู้สึกของตนเอง แต่สามารถเปล่งประกายจนไก่ชนตัวอื่นย้ำเกรง
ชนะโดยไม่ต้องชน
ผู้บริหารที่ดีในความหมายของ "ลี เบียง ชอล" คือ ต้องใจเย็น สงบนิ่งในสถานการณ์ที่กดดันให้ได้
"นิ่ง" เหมือน "ไก่ไม้"
เขามอบ "ไก่ไม้" ให้ลูกชาย เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้รู้จัก "นิ่ง"
"จงรับฟัง" และ "ไก่ไม้" อาจไม่ใช่คาถาที่นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ "ซัมซุง"
แต่เป็นคาถาที่ "ลี กวน ฮี" ใช้ในการบริหารงานมาโดยตลอด
และนำพา "ซัมซุง" ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน

........

แหล่งที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11-17 พ.ค.2555

Tuesday, 1 May 2012

จุดเริ่มต้นของคุณตัน คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้

   
ไม่มีใครในเมืองไทยที่ไม่รู้จักกับ คุณตัน ภาสกรนที ผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต่อมาได้ขายหุ้นใหญ่ให้กับ บริษัท ไทยเบจเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมกับการลาออกจากจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการไปแล้ว และขณะนี้ก็ได้จัดตั้งบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันของเครื่องดื่มชารสต่างๆ ยี่ห้อ อิชิตัน
     คุณตัน เศรษฐีใหม่ในเมืองไทยผู้นี้เกิดในครอบครรัวตึ่งนั่งเกี้ย เป็นลูกคนจีนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีคุณพ่ออพยพมาจากเมืองจีน หอบเสื่อผืนหมอนใบเหมือนกันกับครอบครัวคนจีนหลายครอบครัว ที่ยากจน เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์ จบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่3 เริ่มต้นชีวิตทำงานด้วยวัย 17 ปี ด้วยความขยัน อดทน ซื่อสัตย์ คุณตันค่อย ๆ เริ่มต้นชีวิตจากการทำงานแบกของ ส่งของ และอีกหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ ลวกบะหมี่ เลี้ยงไก่ ขายเฉาก๊วย เรื่อยมาจนเริ่มมีธุรกิจเป็นแผงลอยขายหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเอง แม้จะหมดตัวตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดแผงวันแรกเพราะฝนตกทำให้หนังสือเปียกหมด แต่ด้วยความอดทน และขยันกว่าใคร คุณตัน จะขายหนังสือมากกว่า และเปิดขายของมากกว่าร้านข้างๆ เป็น 2 เท่า เปิดขายตั้งแต่ตี 5 ถึง ตี 2 ทุกวัน สิ่งที่คุณตันทำเหมือนกับหลาย ๆ คน แต่สิ่งที่เค้าคิดกลับไม่เหมือนใคร เพราะการทำงานหลายๆ อย่างต่างเป็นประสบการณ์ในชีิวิต ไม่เคยคิดว่าการทำงานมันเหนื่อย แต่กลับสนุกและมีความสุขในการทำงาน ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไปวันๆ
      ด้วยความที่รักในการทำงานและอยากเห็นผลงานที่ตัวเองทำอย่างดีที่สุึด แม้ในการดูแลกิจการโออิชิแรก ๆ คุณตันก็ยังดูแลงานเบื้องหลังต่างๆ เพื่อให้การบริการลูกค้าได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเช็ดโต๊ะ ซ่อมก๊อกน้ำ หรือการล้างห้องน้ำเอง คุณตันก็จะลงมือทำเองโดยไม่ได้รังเกียจ แม้ปัจจุบันจะไม่ได้ทำแล้ว แต่เค้าเองก็พร้อมที่จะทำงานเสมอ
      จากการที่สื่อมวลชนได้เคยสัมภาษณ์คุณตันถึงความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ ทำให้เห็นถึงความเป็นคนจริงใจ และจริงจังกับงาน ประกอบกับความเป็นผู้มีน้ำใจที่แสดงให้เห็นเมื่อขณะประสบอุทกภัยใหญ่เมื่อ 2554 ที่ผ่านมา ทำให้คุณตันเป็นผู้ใหญ่ที่หลายๆ คนต่างให้ความยอมรับนับถือ และเป็นที่รักของทุกๆ คน แม้การประกอบธุรกิจจะมีขึ้นบ้าง ลงบ้าง แม้จะต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือความเป็นคุณตัน ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ ยังซื่อสัตย์ต่อธุรกิจจะไม่ยอมให้ของที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค แม้จะได้ยินชื่อเสียหายจากหลายๆที่ที่พยายามจะทำลายชื่อเสียงของคุณตันหลายๆ ครั้ง หลายๆ อย่าง แต่นั่นเป็นเพียงการทำลายที่ไม่อาจทำให้คนจริงอย่างคุณตันล้มได้อย่างแน่นอน
       สิ่งเหล่านี้จะเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานรุ่นใหม่ที่บางคนเพิ่งจะเริ่มต้น บางคนเริ่มไปครึ่งทางแล้ว หรือบางคนใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว ขอให้รักษาความดีของตัวเองไว้ แม้วันใดที่ต้องล้มลงก็ขอให้ลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญ พร้อมที่จะเผชิญอุปสรรคต่าง ๆ แล้วก้าวให้ผ่านพ้นไป มันไม่ง่าย และก็ไม่ยากเกินไปถ้าเราจะทำ นอกจากว่าเราจะเลิกซะก่อน
     จุดเริ่มต้นของคุณตัน คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้
     ปัจจุบันคุณตันได้เปิด มูลนิธิตันปัน เพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม คุณตันเล่าว่า "ผมจะมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัท ไม่ตัน ให้เป็นธุรกิจเพื่อภารกิจของ มูลนิธิตันปัน และ “เป้าหมาย”ของผมนับจากนี้ ไม่ใช่”การได้รับ” แต่เป็น”การให้”“ความสุข”ของผมจะไม่ได้อยู่ที่”ตัวเลข” แต่เป็น”รอยยิ้ม”ของคนที่”ได้รับ”"

Saturday, 21 April 2012

ความสำเร็จในชีวิตของ วิตนีย์ ฮุสตัน

         ด้วยความที่วิตนีย์ ฮุสตัน เกิดและเติบโตในวงการนักร้องประสานเสียงชื่อดังอย่าง ซิสซี ฮุสตัน ทำให้เธอรู้จักและคุ้นเคยกับการร้องเพลง การเปล่งเสียงอย่างมืออาชีพ ด้วยวัยเพียง 12 ปี คือจุดเริ่มต้นของเธอ โดยการเป็นนักร้องนำในโบสถ์ เมืองนวร์ก แห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ 
วิตนีย์ ฮุสตันมีผลงานที่มีชื่อเสียงมากมายตั้งแต่ ในปี พ.ศ. 2528 โดยอัลบั้มแรก Whitney Houston มีเพลงฮิตเพลงแรกคือ "You Give Good Love" ขึ้นสูงสุดอันดับ 3 ในอเมริกา ตามมาด้วยเพลงอันดับ 1 อีก 3 เพลงคือ "Saving All My Love for You", "How Will I Know" และ "Greatest Love of All"
อัลบั้ม Whitney ในปี พ.ศ. 2530 สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นอัลบั้มของศิลปินหญิงชุดแรก ที่เข้าอันดับสัปดาห์แรก อันดับที่ 1 ในนิตยสารบิลบอร์ด วิตนีย์สร้างสถิติในการ มีซิงเกิลที่ติดอันดับ 1 ถึง 7 เพลงติดต่อกัน รวมทั้ง "I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me)", "So Emotional" และ "Where Do Broken Hearts Go" หลังจากนั้นอีก 3 ปี วิตนีย์ก็ออกอัลบั้ม I'm Your Baby Tonight ซึ่งมีเพลงฮิตอีกมากมายหลายเพลง รวมทั้งซิงเกิลในชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม ซิงเกิล "I'm Your Baby Tonight" ขึ้นถึงอันดับ 1 ตามมาด้วยเพลงอันดับ 1 "All the Man That I Need" ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดนาน 2 สัปดาห์
และผลต่างๆ อีกมากมาย จนกระทั่งในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552 วิทนีย์ได้ออกอัลบั้ม I Look To You เป็นอัลบั้มในรอบ 7 ปี สามารถขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ตในสัปดาห์แรก มีเพลงโปรโมตชื่อ "I Look To You"
แม้การจากไปของเธอจะทำให้ต้องสูญเสียนักร้องชื่อดังก้องโลกอย่าง วิตนีย์ ฮุสตัน แต่ด้วยประสบการณ์ และผลงานทั้งหมดของเธอนั้นจะยังคงอยู่คู่โลกต่อไปตราบนานเท่านาน
ในการนี้ได้ประจักษ์แล้วว่า ครอบครัว มีความสำคัญในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้กับเธออย่างมากมาย เป็นทั้งโรงเรียน เวที และโอกาสให้เธอได้ก้าวขึ้นสู่ดาวดวงใหม่ ดาวในวงการนักร้องไม่มีวันดับไปจากใจของผู้คน

Sunday, 8 April 2012

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงเป็รพระราชโอรสองค์ที่ 3 ของพี่อขุนศรีอินทราทิตย์ กับพระนางเสือง พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 1782 พระนามเดิมไม่ปรากฏ เมื่อพระองค์พระชนมายุได้ 19 พรรษา ได้ตามเสด็จพระราชบิดา ไปรบกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอดที่เมืองตาก (ขุนสามชน เป็นพวกไทยใหญ่หรือไทยอาหมเป็นพวกที่อพยพมาตามลำน้ำคง) เจ้าเมืองฉอดตีทัพพ่อขุนศรีอินทราทิตย์แตก พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขับช้างหนี แต่พระโอรสองค์ที่ 3 ขับช้างเบิกพลเข้าสู้ ไสช้างเข้าชน ขุนสามชนสู้ไม่ได้ แตกหนีพ่อยไป เมื่อกลับมาถึงสุโขทัยแล้ว พระราชบิดาจึงตั้งชื่อให้ว่า "พระรามคำแหง" เป็นบำเหน็จในการรบชนะพ่อขุนสามชน พ่อขุนรามคำแหงขึ้นเสวยราชย์ เมื่อ พ.ศ. 1820 ต่อจากพ่อขุนบาลเมือง ในรัชสมัยของพระองค์พระนามของพระองค์ถูกเรียกกันหลายพระนาม เช่น พ่อขุนรามคำแหง, พ่อขุนรามราช, พระบาทกัมรแดงอัญศรีรามราช, พระยารามราช, โรจนราช 
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมีพระชนมายุได้ 38 พรรษา พระองค์ทรงมีพระบรมเดชานุภาพมาก ไม่เพียงแต่จะเก่งกล้าในทางสงครามแล้ว พระองค์ทรงมีคุณธรรมอันล้ำเลิศ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติต่อบิดา มารดาอย่างแรงกล้า เมื่อบิดามารดาตายไปแล้ว พระองค์ยังทรงปฏิบัติต่อพระเชษฐา คือขุนบาลเมือง เหมือนกับที่ทรงปฏิบัติต่อบิดา มารดา
เมื่อพระองค์เสวยราชย์แล้ว ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศใกล้เคียง ปกป้องอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ทรงปกครองเหมื่อพ่อปกครองลูก ทรงพระกรุณาเมตตาประชาราษฎร์ ทรงเป็นบูรพาจารย์ สั่งสอนราษฎรเหมื่อพ่อสั่งสอนลูกให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ อันเป็นพระราชภารกิจประจำวันของพระองค์
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสรางความเจริญให้แก่อาณาจักรสุโขทัยเป็นอย่างมาก กล่วได้ว่ารัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง เจริญรุ่งเรืองด้วย การพาณิชยกรรม การหัตถกรรม การศิลปกรรม การอุตสาหกรรมและการกสิกรรมรุดหน้ากว่าอาณาจักรอื่น ๆ
พ่อขุนราคำแหงมหาราช ครองราชย์อยู่ประมาณ 40 ปี ก็สวรรคต ในราว พ.ศ. 1860 พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านล้วนเป็นประโยชน์ต่อปวงชนชาวไทยในรุ่นต่อๆ มาเป็นอย่างมาก เราจึงยกย่อยให้พระองค์เป็น "มหาราช" นับเป็นกษัตริย์มหาราชพระองค์แรกของไทย

Tuesday, 27 March 2012

คนสำคัญของฉัน

 
  คนๆ นี้ให้กำลังใจฉันยามเมื่ออ่อนแอ คนๆ นี้ปลอบใจยามที่ฉันพ่ายแพ้ คนๆ นี้สอนฉันให้ดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ คนๆ นี้ยามที่เค้ายิ้มโลกทั้งใบจะบานฉ่ำ คนๆ นี้คือคนที่รักฉันอย่างสุดหัวใจ แม้บางครั้งฉันอาจจะทำตัวงี่เง่าไม่แคร์ใคร แม้บางครั้งฉันอาจจะเสียใจกับความผิดหวังอะไรมา แม้บางครั้งฉันอาจจะทำให้ท่านเสียใจ และอะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่ท่านเข้าใจ รู้ใจ แม้บางครั้งคำพูดปลอบใจอาจจะไม่ได้ฟังสวยหรู แม้บางครั้งอาจจะไม่ได้อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นเพื่อปลอบใจ ก็เพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการกรำงานทำมาหากินเลี้ยงปากท้องคนในบ้านถึง 5 ชีวิต ที่หลายๆ คนในบ้านอาจไม่รู้ถึงความเหน็ดเหนื่อยนั้น ไม่แม้แต่จะให้กำลังใจเค้า มีแต่รอรับกำลังใจฝ่ายเดียวมันก็ดูจะไม่เข้าท่าสักเท่าไร
    คนๆ นี้ก็คือพ่อของฉัน พ่อที่เป็นเหมือนทั้งพี่ ทั้งเพื่อน พ่อที่เป็นทุกอย่างของชีวิต ผู้ให้กำเนิดเรา ผู้ให้ต้นแบบทางกาย ผู้ที่รักเราตั้งแต่ก่อนจะลืมตาดูโลก จนกระทั่งเราจะลาลับจากกันไป 
   เพราะส่ิงมีชีวิตบนโลกทั้งหลายต่างต้องมีต้นแบบทางกายทั้งสิ้น หมู หมา กา ไก่ ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ฯลฯ ถ้าเราไม่ได้ต้นแบบทางกายจากพ่อเราแล้ว เราก็คงไม่ต่างอะไรกับสัตว์ทั้งหลายพวกนี้
   สิ่งต่างๆ ที่ท่านให้เรานั้น ไม่ว่าจะการเลี้ยงดู ให้การศึกษา ให้คำแนะนำสั่งสอน อาจจะดูเหมือนเป็นหน้าที่ที่พ่อพึงกระทำ เชื่อว่าหลายๆ คนคิดอย่างนั้น แล้วทำไมเราไม่ลองคิดอีกมุมนึงว่า ถ้าท่านไม่รักเราหล่ะ ค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดู ให้การศึกษา กับใครสักคนตลอด 20 ปี มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย แล้วยิ่งถ้าสมาชิกในบ้านมีมากขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยก็ต้องมีมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ทุกคนพึงตระหนัก
   โบราณว่า พ่อแม่เลี้ยงลูก 10 คน แต่ลูกคนเดียวเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้ แต่สมัยนี้แค่ลูกคนเดียวก็ยังถือว่าลำบากเลย เพราะค่าครองชีพต่างๆ ในสังคมสมัยนี้สูงมาก และจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกสมัยนี้ 1 ปี อาจเทียบได้กับค่าเล่าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย 4 ปีจนจบการศึกษา เมื่อ 10 ปีก่อนได้สบายๆ เลย
   ดังนั้นขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของผู้ให้กำเนิดเรามา พ่อ ผู้ให้ชีวิต ให้ความเป็นต้นแบบทางกายของเรามา การได้ตอบแทนพระคุณของท่านจึงเป็นเรื่องที่เราควรกระทำอย่างยิ่ง ตอบแทนด้วยการเลี้ยงดูยามท่านชรา หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว พาไปวัดเพื่อให้ได้ทำบุญ ฟังธรรม เตรียมตัวที่จะลาลับโลกไปอย่างผู้มีชัย เราทุกคนควรพึงตระหนักในเรื่องนี้จึงจะได้ชื่อเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีอย่างแท้จริง

Monday, 19 March 2012

เ้ถ้าแก่น้อย



 คุณ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ หลายๆ คนฟังดูแึ่ค่คุ้นๆ หู อีกหลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าถึง "เถ้าแก่น้อย" ทุกคนก็จะร้องอ๋อ กันมาทีเดียว  
 อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ผู้ประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์สาหร่ายทอดสำเร็จรูป "เถ้าแก่น้อย" จนกลายเป็นเศรษฐีที่มีอายุน้อยที่สุดของไทยคนนึง จนคนไทยด้วยกันเองยังนำไปสร้างหนังคนไทยเพื่อคนไทย เรื่อง "วัยรุ่นพันธุ์ล้าน" ซึ่งเป็นหนังที่วัยรุ่นยุกต์ใหม่ของไทยที่ทุกคนต้องได้ดูกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ และแนวทางทำธุรกิจที่เริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายตัวอย่างไร โดยใช้แนวการตลาดป่าล้อมเมืองของ 7-11 แม้ขณะนี้จะมีบรรดาคู่แข่งที่เข้ามาเลียนแบบทั้งรูปร่าง รูปทรง สีสัน คล้ายๆ กัน แต่ เถ้าแก่น้อย ก็ยังคงได้รับความนิยมไม่ตกไปเลย ด้วยความเป็นมืออาชีพของคุณอิทธิพันธ์ ที่ไม่ยอมให้สินค้าตกคุณภาพ ทั้งแพคเกจใหม่ๆ สีสันสะดุดตาสะดุดใจ ที่ออกมาใหม่พร้อมกับ รูปทรงต่างๆ รสชาติต่างๆ ออกมาให้เลือกมากมาย อีกทั้งยังรักษาคุณภาพความอร่อยไว้ได้ทุกซอง นี่เองที่ทำให้ความนิยมไม่ตกเลย 


   เพราะการที่เป็นคนหัวใส ทำการค้าเก่ง จากเด็กติดเกมธรรมดา กลับมีรายได้จากการขายไอเท็มได้เป็นกอบเป็นกำ จากนั้นก็ทำธุรกิจเกาลัดที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำมีสาขากว่า 30 สาขา แต่เพราะร้านขายเกาลัดเถ้าแก่น้อยมีของแห้งขายมากมาย สิ่งที่ขายดีกลับเป็นสาหร่ายทอด ทำให้กลับคิดได้ว่าจะทำธุรกิจสาหร่ายทอดตรา เก้าแก่น้อย อย่างจริงจัง ด้วยความคิดนี้จึงไปสู่การออกแบบPackage ที่แหวกแนว การคำนึงถึงคุณภาพสินค้าให้เก็บความอร่อยได้ยาวนาน จนได้รับการยอมรับให้วางผลิตภัณฑ์ที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ได้ 3,000 สาขาทั่วประเทศ นี่เองจุดเป็นจุดเริ่มของ เถ้าแก่น้อยพันล้าน
   ด้วยความเป็นคนที่มีความรัก และกตัญญูต่อพ่อแม่มาก ประกอบด้วยเป็นคนที่คิดจริง ทำจริง ใจใหญ่ ใจสู้ นี่เอง ที่ทำให้ เถ้าแก่น้อย ผงาดอย่างมีศักดิ์ศรี เป็น Talk of the town เป็นต้นแบบให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่กล้ารวยทุกๆ คน ได้เห็นเป็นแบบอย่าง ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพเศรษฐกิจสังคมไทยให้ก้าวนำไปสู่เศรษฐกิจโลก


สุดท้ายนี้ก็ขอให้น้องๆ ทุกคน เมื่อได้อ่านและรู้จัก เถ้าแก่น้อย มากขึ้นแล้ว ก็ขอให้ทุกคนใช้พลังความรัก ความเข้าใจกัน และความกตัญญู ให้มาก มาใช้ให้เกิดกำลังความคิด สติ ปัญญา ในการแก้ไขปัญหาของทุกคนให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะการทำงานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคขอเพียงเราไม่ละทิ้งครอบครัว ไม่ทิ้งคนที่เรารักแล้วละก็ พลังแห่งการทำงานเพื่อให้ประสบความสำเร็จย่อมทำได้แน่นอน หากเพียงแต่เราลงมือทำ และไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคอันใด จนต้องท้อใจเลิกไปเสียก่อนแล้ว เชื่อว่าทุกคนต้องประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน และสุดท้ายอย่าทิ้งความดีที่เราได้ทำไว้ ไม่ว่าจะทำทาน รักษาศีล และหมั่นไปวัดทำบุญ นั่งสมาธิ เพื่อฝึกใจของเราผ่องใสอยู่ตลอดเวลา เพราะคนที่เก่งและดี ย่อมรักษาความสำเร็จของเราไว้ได้ยาวนาน ความสำเร็จทำได้ไม่ยาก แต่จะรักษาความสำเร็จให้ยาวนานเป็นเรื่องที่ยากกว่า